:: ประวัติ-สภาพทั่วไป ::
ตราประจำจังหวัดตราประจำจังหวัดสระบุรี เป็นรูปมณฑปพระพุทธบาท หมายถึง มณฑปครอบรอยพระพุทธบาทจำลอง ที่ตั้งอยู่ ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อำเภอพระพุทธบาท ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวเมือง ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ
คำขวัญประจำจังหวัดสระบุรี
พระพุทธบาทลือนาม
แหล่งน้ำอุดม
นมเนื้อมากมาย
หลากหลายโรงงาน
ถิ่นข้าวสารพันธุ์ดี
มีมะม่วงรสเลิศ
งามบรรเจิดธรรมชาติ
ต้นไม้ประจำจังหวัดสระบุรี
-
-
ชื่อพรรณไม้ ตะแบกนา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lagerstroemai floribanda- ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง 15 - 30 เมตร เปลือกเรียบสีเทาอมขาว แตกล่อนเป็นหลุมตื้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบ ดอกสีม่วงอมชมพู ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ผลรูปรี เมล็ดมีปีก
ดอกไม้ประจำจังหวัดสระบุรี -
-
ความเป็นมาของจังหวัดสระบุรี- สระบุรีเป็นเมืองเก่าแก่ และมีความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16-20 แต่เพิ่งมาก่อตั้งเป็นเมืองอย่างจริงจังในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ มูลเหตุแห่งการตั้งเมืองเนื่องจากต้องการใช้เป็นที่ระดมพลในยามสงคราม และดำรงสถานะเมืองมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงได้รับการจัดตั้งเป็นจังหวัด มีการตัดทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือและถนนมิตรภาพ หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ผ่านไปยังจังหวัดนครราชสีมา จนปัจจุบันสระบุรีได้กลายเป็นชุมทางการคมนาคมที่สำคัญของทั้งภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และจังหวัดทางแถบตะวันตก
ส่วนชื่อของเมือง มีการสันนิษฐานว่าเดิมที่ตั้งเป็นเมืองมีพื้นที่อยู่ในทำเลใกล้บึงหนองโง้ง หลังจากตั้งเป็นเมืองจึงนำเอาคำว่า "สระ" มารวมกับคำว่า "บุรี" และใช้เป็นชื่อเมือง "สระบุรี" มาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์จังหวัดสระบุรี - สมัยอยุธยา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงสันนิษฐานว่าสระบุรีเป็นเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาราวปีพุทธศักราช 2092 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งครองราชสมบัติระหว่างปีพุทธศักราช 2091-2111
หลังว่างเว้นการสงครามมาระยะหนึ่ง เมื่อมีข้าศึกศัตรูโดยเฉพาะศึกพม่ามาประชิดติดพระนครทำให้เพลี่ยงพล้ำต่อข้าศึก จนครั้งหนึ่งต้องสูญเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัยอัครมเหสี ซึ่งปลอมตัวเป็นชายเสด็จตามทัพของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไป ณ ทุ่งลุมพลี หรือทุ่งมะขามย่อง ชานพระนครด้านทิศเหนือ
หลังเสร็จศึกพม่าคราวนั้นแล้ว ได้มีการปรึกษาข้อราชการเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการป้องกันประเทศใหม่ โดยเฉพาะปัญหาไพร่พลที่เกณฑ์เข้ามาได้น้อย ไม่เพียงพอต่อการต้านข้าศึก จึงโปรดให้จัดตั้งเมืองรอบพระนครเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่ เช่น เมืองสุพรรณบุรี เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองลพบุรี และเมืองนครนายก
หัวเมืองรอบนอกเหล่านี้ เดิมได้มีการก่อกำแพงรอบเมือง เพื่อให้เป็นป้อมปราการป้องกันข้าศึกไม่ให้ตีแตกได้โดยง่าย ภายหลังเมื่อถูกศัตรูตีแตกและยึดได้ กลับกลายเป็นประโยชน์แก่ข้าศึกไป จึงได้มีการพิจารณาปรับปรุงไปในคราวเดียวกัน
สำหรับเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในคราวนั้น เฉพาะที่มีบันทึกในพระราชพงศาวดาร ได้แก่ เมืองสาครบุรี เมืองนครชัยศรี และเมืองนนทบุรี ซึ่งล้วนเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางแถบตะวันตกและทิศใต้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงทรงสันนิษฐานว่า ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ก็น่าที่จะมีการตั้งเมืองขึ้นใหม่ สำหรับเป็นที่ระดมพล เพื่อไปช่วยหัวเมืองทางด้านทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกยามมีข้าศึกยกมาเช่นเดียวกัน
ตามข้อสันนิษฐานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ด้านทิศตะวันออก ได้แก่ เมืองฉะเชิงเทรา ส่วนเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เมืองสระบุรี ที่สันนิษฐานเช่นนั้น เนื่องจากต่อมาไม่นานชื่อเมืองสระบุรีก็ได้ปรากฏบนหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยปรากฏครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ครั้งทรงขึ้นครองราชย์ครั้งที่ 2 หรือราวพุทธศักราช 2098 ซึ่งได้ข่าวว่าหัวเมืองฝ่ายเหนือถูกพม่ายึดได้และกำลังเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้พระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงทรงจัดไพร่พลเตรียมทัพไว้สำหรับปกป้องพระนคร ดังความตอนหนึ่งในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาที่ว่า - "...อนึ่งหน้าที่ซึ่งเป็นหน้าที่กวดขัน พระเจ้าอยู่หัวก็ไว้พระยากลาโหมและพระยาพลเทพ พระมหาเทพเมืองชัยนาถ เมืองสุพรรณบุรี เมืองลพบุรี เมืองอินทรบุรี เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี เมืองนครนายก เมืองสระบุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสรรคบุรี เมืองสิงคบุรี เมืองนครชัยศรี เมืองธนบุรี เมืองมฤต ทั้งนี้อยู่ประจำหน้าที่แต่ประตูหอรัตนชัย..."
- ส่วนชื่อเจ้าเมืองสระบุรีได้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งจัดทัพเตรียมขึ้นไปปราบประเทศกัมพูชาที่คิดไม่ซื่อต่อกรุงศรีอยุธยาตลอดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าจักรพรรดิ เช่นราวพุทธศักราช 2125 ดังความในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า
- "...มีพระราชบริหารสั่งพระยานครนายก พระยาปราจีน พระวิเศษเมืองฉะเชิงเทรา พระสระบุรี 4 หัวเมือง ให้พระยานครนายกเป็นแม่กองใหญ่คุมพลหมื่นหนึ่งออกไปตั้งค่ายขุดคูปลูกยุ้งฉางถ่ายลำเรียงไว้ตามตำบลทำนบรักษาให้มั่นอย่าให้เสียทีแก่ข้าศึก ฝ่ายพระยานครนายก พระยาปราจีน พระยาวิเศษฉะเชิงเทรา พระสระบุรีกราบถวายบังคมลาและก็ไปทำตามพระราชบัญชาสั่ง..."
- สำหรับเมืองที่ตั้งขึ้นในคราวตั้งเมืองสระบุรีล้วนเป็นเมืองที่กำหนดแต่เขตแดน ไม่ได้กำหนดที่ตั้งเมืองแน่นอนด้วยเพราะมีจุดประสงค์เพียงเพื่อความสะดวกในการระดมพลในยามสงครามเท่านั้น เหตุนี้จึงถือเอาที่อยู่ของเจ้าเมืองเป็นเกณฑ์กำหนดที่ตั้ง เจ้าเมืองย้ายไปที่ใดที่ตั้งเมืองก็ย้ายไปตามนั้น และเป็นอยู่เช่นนี้จนเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์
- สมัยรัตนโกสินทร์
ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ สระบุรียังคงเป็นเมืองเปิด มีหน้าที่ระดมพลเพื่อไปช่วยทัพหลวง และหัวเมืองฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือและฝ่ายเหนืออยู่เป็นประจำโดยเฉพาะในรัชสมัยรัชกาลที่ 1-3 ได้ยกทัพไปปราบหัวเมือง เช่น เวียงจันทน์ หลวงพระบาง และกัมพูชาที่คิดกบฏอยู่บ่อยๆ
การปกครองหัวเมืองต่างๆ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงไม่แตกต่างจากสมัยอยุธยานัก คือ เมืองยิ่งไกลพระนครมากเท่าไรก็มีอิสระในการปกครองตนเองมากเท่านั้น เนื่องจากการคมนาคมยังไม่สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองเป็นไปอย่างลำบาก
จนในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้จัดระบบการปกครองส่วนภูมิภาคขึ้นใหม่เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล คือ ในเมืองหนึ่งๆ จะแบ่งการปกครองออกเป็นอำเภอ ตำบล ขึ้นอยู่ในการปกครองของเจ้าเมือง ส่วนเมืองต่างๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกันก็จะจัดตั้งเป็นมณฑลขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลและปกครอง เมื่อแรกตั้งมีอยู่ 6 มณฑลต่อมาได้ตั้งเพิ่มเติมอีกหลายมณฑล สำหรับสระบุรีขึ้นอยู่ในการปกครองของมณฑลกรุงเก่า *ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงพระยศเป็นเสนาบดีมหาดไทย พระองค์ได้จัดระเบียบการปกครองเป็นแบบรวมอำนาจไว้ ณ จุดเดียว คือ ส่วนกลาง พร้อมกับเปลี่ยนระบบการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองต่างๆ หมายถึงรัฐไม่ยอมให้อำนาจการปกครองไปอยู่ที่เจ้าเมืองอีกต่อไป โดยเริ่มจัดตั้งขึ้นในปีพุทธศักราช 2435 แล้วเสร็จในปีพุทธศักราช 2458 *เข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 7 ตรงกับพุทธศักราช 2476 ได้มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นแบบประชาธิปไตย และได้มีการตราพระราชบัญญัติการปกครองเป็นแบบกระจายอำนาจสู่ภูมิภาคเปลี่ยนจาการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เป็นจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
สำหรับเมื่อสระบุรีก็ได้จัดตั้งเป็นจังหวัดสระบุรีในคราวเดียวกันนี้เมื่อแรกศาลากลางจังหวัดตั้งอยู่ที่อำเภอเสาไห้ ต่อมาความเจริญต่างๆ ได้ย้ายมาอยู่ที่บริเวณตำบลปากเพรียว อำเภอปากเพรียว เนื่องจากได้มีการตัดทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือผ่านพื้นที่ไปยังจังหวัดนครราชสีมา ทำให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวกลายเป็นชุมทาง และชุมชนการค้า จนทางการเห็นว่า ศาลากลางน่าจะอยู่ในท้องที่ที่มีความเจริญมากกว่าจึงได้มีคำสั่งย้ายที่ตั้งศาลากลางมาอยู่ ณ ตำบลปากเพรียว ได้เปลี่ยนใหม่เป็นอำเภอเมืองสระบุรี
บริเวณที่ตั้งศาลากลางในปัจจุบันคือ ถนนเทศบาล 3 ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี โดยย้ายมาจากที่เดิมเนื่องจากสถานที่คับแคบ ไม่สะดวกต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่และการบริหารประชาชน
- สภาพทั่วไปของจังหวัดสระบุรี
1. สภาพทางภูมิศาสตร์
1.1 ที่ตั้งและอณาเขต
จังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 3,576 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2,096,000 ไร่ อาณาเขตและจังหวัดใกล้เคียงที่ติดต่อกับจังหวัดสระบุรี มีอยู่ 6 จังหวัด คือ -
ทิศเหนือ เขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอหนองโดน อำเภอพระพุทธบาทติดต่อกับจังหวัดลพบุรี ทิศใต้ เขตอำเภอวิหารแดง ติดต่อกับจังหวัดนครนายก อำเภอหนองแคติดต่อจังหวัดปทุมธานี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทิศตะวันออก เขตอำเภอแก่งคอย และอำเภอมวกเหล็ก ติดต่อกับจังหวัดนครนายก และจังหวัดนครราชสีมา ทิศตะวันตก เขตอำเภอหนองแค อำเภอหนองแซง อำเภอเสาไห้ อำเภอบ้านหมอ และอำเภอดอนพุด ติดต่อกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา -
-
-
-
1.2 ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพพื้นที่โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ เป็นที่ราบสูงสลับภูเขา มีป่าไม้หนาแน่นในเขตเขาสูงและ พื้นที่ราบลุ่ม จัดเป็นดินตะกอนใหม่เนื่องจากเคยเป็นทะเลมาก่อน
1.3 ลักษณะภูมิอากาศ
ส่วนสภาพอากาศของจังหวัดสระบุรีไม่แตกต่างจากจังหวัดที่อยู่ในเขตที่ราบลุ่มเดียวกันนัก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ฤดูกาล คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยในแต่ละฤดูกาลไม่แตกต่างกันเท่าใด อุณหภูมิเฉลี่ยสูงประมาณ 34 องศาเซลเซียส และต่ำสุดประมาณ 23 องศาเซลเซียส
2. ประชากร
จำนวนประชากรของจังหวัดสระบุรี ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 มีประชากร รวมทั้งสิ้น 593,125 คน แบ่งเป็นชาย 296,280 คน และเป็นหญิง 296,855 คนสำหรับ อำเภอที่มีประชากรมากที่สุดได้แก่ อำเภอเมือง มีจำนวน 112,157 คน รองลงมาได้แก่ อำเภอ แก่งคอยมีจำนวน 87,048 คน และอำเภอหนองแคมีจำนวน 84,752 คน ฯลฯ
-
-
-
- 3. เขตการปกครอง
จังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ขนาดไม่กว้างใหญ่มากนัก อีกทั้งลักษณะพื้นที่ยังเป็นพื้นที่ราบเสียส่วนใหญ่ มีการคมนาคมที่สะดวกสบายทำให้ง่ายต่อการปกครองและการบริหารราชการ ทั้งนี้ได้แบ่งการปกครองออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- การบริหารราชการส่วนกลาง หน่วยงานของส่วนกลางและรัฐวิสาหกิจเข้ามาตั้งที่ทำการอยู่ภายในจังหวัดกว่า 40 แห่ง
- การบริหารราชการส่วนภูมิภาค แบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น 13 อำเภอ 111 ตำบล 955 หมู่บ้าน อำเภอต่างๆ ได้แก่ อำเภอเมืองสระบุรี อำเภอเสาไห้ อำเภอหนองแซง อำเภอหนองแค อำเภอวิหารแดง อำเภอแก่งคอย อำเภอมวกเหล็ก อำเภอวังม่วง อำเภอพระพุทธบาท อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอบ้านหมอ อำเภอหนองโดน และอำเภอดอนพุด
- การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น แบ่งการบริหารออกเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4 เทศบาล 17 สุขาภิบาล และ 103 องค์การบริหารส่วนตำบล - จังหวัดสระบุรี แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 อำเภอ 111 ตำบล 963 หมู่บ้าน 21 เทศบาล103 องค์การบริหารส่วนตำบล
ตารางแสดงเขตการปกครองพื้นที่จำแนกรายอำเภอ
- สภาพทั่วไปของจังหวัดสระบุรี
อำเภอ
|
จำนวนตำบล และหมู่บ้านทั้งจังหวัด
|
จำนวนตำบลและหมู่บ้านในเขตอบต.
|
จำนวนเทศบาล
|
||
ตำบล
|
หมู่บ้าน
|
ตำบล
|
หมู่บ้าน
|
||
1. อำเมืองสระบุรี |
11
|
77
|
10
|
76
|
2
|
2. อำเภอแก่งคอย |
14
|
112
|
12
|
102
|
2
|
3. อำเภอหนองแค |
18
|
181
|
17
|
178
|
3
|
4. อำเภอหนองแซง |
9
|
69
|
9
|
67
|
1
|
5. อำเภอบ้านหมอ |
9
|
79
|
8
|
66
|
2
|
6. อำเภอเสาไห้ |
12
|
101
|
12
|
86
|
3
|
7. อำเภอพระพุทธบาท |
9
|
68
|
7
|
68
|
1
|
8. อำเภอวิหารแดง |
6
|
54
|
6
|
40
|
2
|
9. อำเภอมวกเหล็ก |
6
|
80
|
6
|
77
|
1
|
10. อำเภอหนองโดน |
4
|
34
|
4
|
33
|
1
|
11. อำเภอดอนพุด |
4
|
28
|
3
|
23
|
1
|
12. อำเภอวังม่วง |
3
|
31
|
3
|
29
|
1
|
13.อำเภอเฉลิมพระเกียรติ |
6
|
49
|
6
|
42
|
1
|
รวม
|
111
|
963
|
103
|
887
|
21
|
- 4. สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
สภาพทางเศรษฐกิจ ประชากรมีรายได้ เฉลี่ยต่อหัว 127,876 บาทต่อปี เป็นอันดับ 7 ของภาคกลาง และ เป็นอันดับที่ 8 ของประเทศ โดยทั้งจังหวัดมีผลิตภัณฑ์มวลรวม 67,774,028 ล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม มากที่สุด ถึงร้อยละ 46.30 % คิดเป็นมูลค่า31,377,706 ล้านบาท รองลงมาเป็นสาขาเหมืองแร่ และการย่อยหิน ร้อยละ 12.27 คิดเป็นมูลค่า8,315,374 ล้านบาท และสาขาการไฟฟ้าและประปา ร้อยละ 7.73 คิดเป็นมูลค่า 5,239,929 ล้านบาท อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 10.44 (ปี 2538)
สภาพทางสังคม จังหวัดสระบุรีเป็นจังหวัดที่มีการบริการด้านการศึกษาที่ดีพอสมควร ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงปริญญาตรี จำนวน 385 แห่ง ด้านไฟฟ้า น้ำประปา และโทรศัพท์ มีบริการทั่วทุกหมู่บ้าน อย่างเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้